ศ 1760-1840 เป็นระยะที่มีการประดิษฐ์เครื่องจักรช่วยในการผลิตและการปรับปรุง โรงงานอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 ระหว่าง ค. 1861- 1865 เป็นการปรับปรุงการคมนาคมสื่อสาร ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของอุตสาหกรรมเหล็ก และเครื่องจักรไอน้ำ การปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะแรก คือ การประดิษฐ์เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมการ ทอผ้า เช่น ใน ค. 1733 จอห์น เคย์ (JOHN KAY) แห่งเมืองแลงคาเชียร์ (LANCASHIRE) ได้ประดิษฐ์กี่กระตุก (FLYING SHUTTLE) ซึ่งช่วยให้ช่างทอผ้าสามารถผลิตผ้าได้มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า ค. 1764 เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ (JAMES HARGREAVES) สามารถผลิตเครื่องปั่นด้าย (SPINNING JENNY) ได้สำเร็จ ต่อมา ค. 1769 ริชาร์ด อาร์กไรต์ (RICHARD ARKWRIGHT) ได้ปรับปรุง เครื่องปั่นด้ายให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และพัฒนาเป็นเครื่องจักรกลที่ใช้พลังน้ำหมุนแทนพลังคนเรียกว่า WATER FRAME ทำให้เกิดโรงงาน ทอผ้าตามริมฝั่งแม่น้ำทั่วประเทศ มีการ ขยายตัวทำไร่ฝ้ายในอเมริกา ต่อมาวิตนีย์ (ELI WHITNEY) สามารถประดิษฐ์เครื่อง แยกเมล็ดฝ้ายออกจากใย (COTTON GIN) ได้เมื่อ ค. 1793 การพัฒนาอุตสาห- กรรมการทอผ้าของอังกฤษเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 การประดิษฐ์ที่พัฒนาควบคู่กับการทอผ้า คือ การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ โดยเจมส์ วัตต์ ( JAMES WATT) ชาวสกอต ประดิษฐ์ได้ใน ค.
1801 ประชากรอาศัยอยู่ในอังกฤษ และเวลส์ ประมาณ 9 ล้านคน และอีกประมาณ 1.
1889 ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นการก่อสร้างที่ ทันสมัยของโลก เกิดปัญหาสังคมต่างๆ มากมาย เช่น ชุมชนแออัด การแพร่กระจายของเชื้อโรค ปัญหาอาชญากรรม การใช้ แรงงานเด็ก การเอารัดเอาเปรียบกัน ทำให้เกิดแนวคิดของ ลัทธิสังคมนิยม (SOCIALISM) ของคาร์ล มาร์กซ์ (KARL MARX) ที่เรียกร้องให้กรรมกรรวมพลังกันเพื่อก่อการปฏิวัติโค่นล้มระบบ ทุนนิยม ทำให้ลัทธิสังคมนิยมมีบทบาทและอิทธิพลมากขึ้น เกิดลัทธิเสรีนิยม (LIBERALISM) ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยและ แนวคิดนี้แพร่หลายกว้างขวางขึ้น ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ค. 1776 แอดัม สมิธ (ADAM SMITH) ได้พิมพ์งานเขียนชื่อ THE WEALTH OF NATIONS เพื่อเสนอแนวคิดว่าความมั่งคั่งของ ประเทศจะเกิดจากระบบการค้าแบบเสรี (LAISSEZ FAIRE) กล่าวได้ว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดการแบ่งค่ายระหว่างลัทธิทุนนิยมกับลัทธิ สังคมนิยมอย่างเป็นรูปธรรม ต่อมาใน ค. 1889 ได้มีการประกาศให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันเมย์เดย์หรือวันแรงงานสากล (MAY DAY) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดวรรณกรรมแนวสัจนิยม (REALISM) ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่พยายามเสนอเรื่องความเป็นจริงเบื้องหลัง ความสำเร็จ ของระบบสังคมอุตสาหกรรม ที่ชนชั้นกรรมกรมีชีวิตที่ยากไร้และถูกเอารัดเอาเปรียบ 5.
ได้ที่นี่เลย! !
ศ. 1760-1800 2) การปฏิวัติช่วงที่สองเป็นการปฏิวัติด้านการขนส่งทางรถไฟ และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันเช่นถ่านหิน เหล็ก และเหล็กกล้า ส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางการค้า การขยายตัวเมือง และชุมชนโดยรอบ 3) การปฏิวัติช่วงที่สามเป็นการปฎิวัตินวัตกรรมทางเคมีและอิเลคโทรนิกส์อันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีโดยมีเยอรมนีกับสหรัฐเป็นผู้นำ 4) การปฎิวัติช่วงที่สี่ เป็นการปฎิวัติด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ และการผลิตน้ำมันที่ได้ดูดซับเงินทุนไว้เป็นจำนวนมาก สมัยการปฎิวัติอุตสาหกรรม 1) สมัยเริ่มการปฎิวัติอุตสาหกรรม ค. 1760 เป็นการผลิตของช่างผู้ชำนาญงาน โดยอาศัยความสำนึก และความเคยชินมากกว่าอาศัยการวิจัยเป็นขั้นตอน เป็นสมัยการใช้ถ่านหิน และไอน้ำ 2) การปฎิวัติอุตสาหกรรมระยะที่สอง ประมาณ ค. 1860 เป็นสมัยการพัฒนาอุตสาหกรรมเคมีไฟฟ้า ความเชื่อทางสังคมที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลัทธิเสรีนิยม ( Liberalism) ลัทธิชาตินิยม ( Nationalism) ลัทธิเชื้อชาติ ( Racism) ส่วนลัทธิการเมืองที่จำแนกได้คือ ประชาธิปไตย ( Democracy) เผด็จการ ( Dictator) แบบเบ็ดเสร็จ ( Totalitarianism) สังคมนิยม ( Socialism) คอมมิวนิสต์ ( Communism) หรือมาร์กซิสม์ ( Marxism) หรือสังคมปฏิวัติ ( Socialist Revolution) ส่วนลัทธิเศรษฐกิจได้แก่ทุนนิยม ( Capitalism) พาณิชย์นิยม ( Mercantilism) เศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ( Liberalism) เศรษฐกิจสังคมนิยม ( Socialism) ( ดู Agricultural Revolution) ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..
รุ่งฤดี เนื่องมัจฉา 111 ประวัติศาสตร์: 13. การปฏิวัติอุตสาหกรรม